บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง “AF” เดินหน้าสร้างการเติบโตสู่ความยั่งยืน ล่าสุดได้รับคะแนนการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย(CGR)ระดับ 5 ดาว หรือ“ดีเลิศ” (Excellent) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ผลประเมินสำหรับปี 2566 ทาง AF ได้คะแนน 99% สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มธุรกิจการเงินและยังติด Top Quartile ของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม และ กลุ่มที่มี Market Cap. 1,000 – 2,999 ล้านบาท พร้อมคว้าคะแนนโบนัส 102% หมวดเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสระดับดีเยี่ยม มุ่งสู่ผู้ให้บริการทางการเงิน non-bank ภายใต้การนำเทคโนโลยีดิจิทัล ผสมผสานความเชี่ยวชาญการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง เพื่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมนำร่องปล่อยสินเชื่อ GREEN Project ให้ธุรกิจพลังงานสะอาด หนุนกลุ่มลูกค้ารักษ์โลก ตอบโจทย์การสร้างความยั่งยืน ESG
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ประธานกรรมการ บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AF ผู้นำด้านการให้บริการเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นแก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ 5 ดาว หรือ“ดีเลิศ” (Excellent) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2566 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ยึดมั่นหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีได้อย่างครบถ้วน และมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดรับแผนการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์และพันธกิจ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นกลุ่มบริษัททางการเงินชั้นนำ (Non-Bank) ที่มีเครือข่ายพันธมิตรในระดับสากล สามารถตอบสนองความต้องการทุกระดับของลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครบถ้วนและหลากหลาย โดยการนำเทคโนโลยีดิจิตัลมาประยุกต์ใช้ผสมผสานความเชี่ยวชาญการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าอย่างครบวงจร อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) รวมถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ AF ได้รับคะแนนจากการประเมิน 99% ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนที่ได้ 81% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธุรกิจการเงินได้คะแนนเฉลี่ย 88% และ AF ยังติด Top Quartile สำหรับบริษัทจดทะเบียนโดยรวม และกลุ่มที่มี Market Cap 1,000 – 2,999 ล้านบาทด้วย โดยบริษัทฯ ได้รับคะแนนในหมวดของการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสในระดับดีเยี่ยม คือ 102% ซึ่งเป็นคะแนนเกิน 100% นอกจากนี้ ในหมวดของสิทธิของผู้ถือหุ้นและการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน บริษัทยังได้รับคะแนนระดับสูงระดับ 95% และ 94% ในเรื่องของความรับผิดชอบของคณะกรรมการ ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียน
“การที่ AF ได้คะแนนสูง เนื่องจากเราให้ความสำคัญเรื่องความรับผิดชอบของกรรมการ ทั้งในเรื่องโครงสร้างคณะกรรมการ การปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแล การประเมินตนเอง และการพัฒนาของกรรมการ โดยมีการจัดทำ Board Skill Matrix เพื่อ พิจารณาคุณสมบัติกรรมการ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการสรรหากรรมการภายในองค์กร สู่คุณสมบัติที่พร้อมขับเคลื่อนในการนำพาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง เพราะเราคือสถาบันการเงิน ดังนั้นความน่าเชื่อถือจึงเป็นหัวใจหลักที่สำคัญของบริษัทฯที่ต้องรักษาไว้ เพื่อให้ลูกค้า ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสีย ควบคู่กับการตระหนักถึงการให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยง”
ด้าน นายอัครวิทย์ สุกใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “AF” กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา AF ได้นำร่องปล่อยสินเชื่อโครงการพลังงานสะอาด (GREEN Project) ให้กับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายใต้การปล่อยสินเชื่อในอัตราพิเศษ เนื่องจากบริษัทฯเล็งเห็นถึงความสำคัญในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการที่คำนึกถึงสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม สอดรับกับแนวทาง ESG ในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยล่าสุดปล่อยสินเชื่อรวมให้กับลูกค้าที่มีวัตถุประสงค์โครงการสอดคล้องแนวทาง ESG ดังกล่าวไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท ถือเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆกับกลุ่มบริษัทคู่ค้า
ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความยั่งยืนของบริษัทฯ จึงมีนโยบายและแผนงานส่งพนักงานไปอบรมหลักสูตรการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงในเรื่องของคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งต่อคำแนะนำความรู้ไปให้กับกลุ่มลูกค้าได้ตระหนักถึงความสำคัญ และการปรับตัวไปตามเทรนการลงทุนธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะสะท้อนถึงการปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะผนึกกำลังหรือ synergy กับพันธมิตรและลูกค้าธุรกิจต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลงทุนในพลังงานสะอาด หรือมีโครงการอนุรักษ์พลังงานมากขึ้นในอนาคต ในรูปแบบการเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยบริษัทฯตั้งเป้าอัตราเติบโตการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่ม GREEN Project เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 20%
“บริษัทฯ เชื่อว่าในอนาคตลูกค้าจากการปล่อยสินเชื่อ Green Project จะมีอัตราการเติบโตสูงมากขึ้น จากการปรับตัวตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับ Net Zero ทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้น จึงเป็นที่มาของแผนการขับเคลื่อนการปล่อยสินเชื่อของ AF เพื่อสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจกิจแบบองค์รวมทั้ง 3 มิติ (Bio-Circular-Green Economy) หรือ BCG เพื่อร่วมสนับสนุนภาคธุรกิจที่ตระหนักถึงความสำคัญ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)”
About Aira Factoring
บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2540 เดิมใช้ชื่อว่า บริษัท ธนมิตร แฟคตอริ่ง จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 20 ล้านบาท โดยการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 50 กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 38 และกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นถือหุ้นร้อยละ 12 โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง เพื่อดำเนินธุรกิจแฟคตอริ่ง และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2547 บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทได้จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในเดือนสิงหาคม 2547 พร้อมกับเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนจำนวน 4 ล้านหุ้น ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วจำนวน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 20 ล้านหุ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจิราธิวัฒน์ และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จำหน่ายหุ้นสามัญของกิจการให้กับ บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) จำนวน 11,470,200 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 57.35 ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท และต่อมาเดือนกันยายน 2554 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก “บริษัท ธนมิตร แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน)” เป็น “บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน)” ต่อมาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญจากเดิมหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 0.25 บาท และเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 200 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,600 ล้านหุ้น