บางจากฯ สะท้อนความสำเร็จในปี 2566 ในทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนสู่ปีที่ 40 อย…

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบางจากฯ ทุกกลุ่มธุรกิจมีการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม รวมถึงมีพัฒนาทางธุรกิจสำคัญหลายด้าน นับเป็นบทพิสูจน์ถึงศักยภาพและขีดความสามารถทางธุรกิจที่น่าภาคภูมิใจ โดยหลังจากที่บางจากฯ ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทบางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เดิม ได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อรักษาสมดุลของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Energy Trilemma) ผ่านการผสาน ประโยชน์ของธุรกิจด้วยการ synergy ระหว่างกัน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด และมีการพัฒนา platform for growth เพื่อการเติบโตต่อเนื่อง เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงพลังงานได้ในราคาที่เป็นธรรม สร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับสังคมไทยและบริษัทฯ โดยได้มีการวางแผนธุรกิจและเป้าหมายสำคัญในปี 2567 ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ดังนี้

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันมาตรฐานระดับโลก 2 แห่ง ตั้งเป้าหมายอัตราการกลั่นน้ำมันดิบ (รวม 266,000 บาร์เรลต่อวัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 จาก 155,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2566) โดยโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ซึ่งได้รับการยอมรับถึงคุณภาพระดับโลกได้มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่อง มีต้นทุนการกลั่นต่ำที่ประมาณ 1.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลและใช้พลังงานในกระบวนการกลั่นอย่างมีประสิทธิภาพตั้งเป้าดัชนีชี้วัดการใช้พลังงานสากลที่ 1st Quartile และมีแผนขยายระยะเวลาของรอบการหยุดซ่อมบำรุงจาก 2 ปี เป็น 4 ปี ทั้งยังมีการศึกษาเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาโรงกลั่นมุ่งสู่การเป็นโรงกลั่นชีวภาพ (Bio-refinery) ซึ่งผลิตน้ำมัน Biofuel 2nd Generation ที่มีคุณสมบัติ Drop-in เทียบเท่ากับน้ำมันฟอสซิล โดยมีเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เป็นผลิตภัณฑ์แรก

ขณะเดียวกันจะนำความสำเร็จจากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงมาใช้กับโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและการผสานประโยชน์ร่วมกัน โดยตั้งเป้าอัตราการกลั่นน้ำมันดิบ สำหรับโรงกลั่นบางจาก ศรีราชาในปี 2567 ที่ 155,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ดำเนินการมา

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมันของบางจากฯ มีการดำเนินธุรกิจครบวงจรใน value chain ด้วยธุรกิจจัดหาน้ำมันดิบผ่านบริษัท บีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) ในประเทศสิงคโปร์ ธุรกิจบริหารการขนส่งเชื้อเพลิงทางรถและเรือทางท่อและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ผ่านบริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ (BFPL) และธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ผ่านบริษัทบีเอสจีเอฟ (BSGF) และ ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัท รีไฟเนอร์รี่ ออฟติไมซ์เซชั่น แอนด์ ซินเนอร์ยี่ เอนเตอร์ไพรส์ (ROSE) เพื่อจัดทำแผนและบริหารงานธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 2 แห่ง ให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับบางจากฯ ต่อไป

กลุ่มธุรกิจการตลาด มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อให้สถานีบริการบางจากเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย ตั้งเป้าขยายเครือข่ายสถานีบริการจาก 2,221 สถานี ณ สิ้นปี 2566 เป็นมากกว่า 2,500 สถานีในปี 2573 ซึ่งรวมถึงสถานีบริการในรูปแบบ Unique Design ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยกลุ่มธุรกิจการตลาด จะมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงทั้ง Premium 97 และ Premium Diesel รวมถึงตั้งเป้าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่านการขยายธุรกิจ non-oil เช่น การขยายร้านอินทนิลเพิ่มขึ้นปีละ 140 สาขา เป็น 2,000 สาขาในปี 2573 ตลอดจนเพิ่มแบรนด์สินค้าต่าง ๆ เพื่อความหลากหลาย และการเพิ่มร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านค้าพันธมิตรที่มีศักยภาพในสถานีบริการบางจากให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงตั้งเป้าในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นให้แบรนด์ FURiO

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการตลาดยังให้ความสำคัญกับปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์บางจากที่สถานีบริการเป็น “ใบไม้ใบใหม่” และการผสาน 2 แบรนด์เข้าสู่แบรนด์บางจากอย่างราบรื่น ปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์และเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ “เอสโซ่” เป็น “บางจาก” ด้วยแนวคิด “Your Greenovative Destination for Intergeneration” จุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย โดยนำปรัชญาความเสมอภาคและการเข้าถึงทางกายภาพมาใช้อย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งหมดจะให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2567

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่ง และความเติบโตของธุรกิจหลัก (Core Business) คือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยตั้งเป้าหมายปี 2567 ปริมาณการผลิตไฟฟ้า (กิกะวัตต์-ชั่วโมง) เติบโตกว่าเท่าตัว พร้อมมุ่งเน้นธุรกิจที่เป็น New S Curve อาทิ ธุรกิจกักเก็บพลังงานทั้งสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและสำหรับโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว และธุรกิจการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ

บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายปริมาณจำหน่ายปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปี 2566 เป็น 560 ล้านลิตร มุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจหลักจากการขยายเครือข่าย และเติบโตในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงโดยร่วมกับบางจากฯ ในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเชิงพาณิชย์ที่ร่วมทุนกับ Fermbox Bio จากสหรัฐอเมริกา โดยในระยะแรกจะผลิตเอนไซม์ ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 200,000 ลิตรในปี 2567 และเพิ่มเป็นมากกว่า 1 ล้านลิตรในปี 2570 และขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) อื่น ๆ

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและกลุ่มธุรกิจขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ มุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานผ่านการขยายธุรกิจ โดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตั้งเป้าหมายเติบโตร้อยละ 74 มีกำลังการผลิตปิโตรเลียม 40,000 boepd (บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) ในปี 2567 และมีเป้าหมายกำลังการผลิตมากกว่า 100,000 boepd ภายในปี พ.ศ. 2573 จากการดำเนินการแหล่งปิโตรเลียมในประเทศของนอร์เวย์ผ่านบริษัทฯ OKEA ASA รวมถึงการแสวงหาการเติบโตในธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติในแหล่งใหม่ ๆ ในทวีปอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ

ทั้งนี้ บางจากฯ มีแผนยุทธศาสตร์จากนี้ไปจนถึงปี 2573 เพื่อความเติบโตทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก รวมถึงแผนพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบัน (Extend) และแสวงหาโอกาสในการกระจายการลงทุนในธุรกิจอื่น (Diversify) เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งจะเป็นพลังงานสะอาดที่เป็น Bridging Energy ในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้ ธุรกิจการให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและมุ่งสู่การเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์ม Battery as a Service (BaaS) สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้มีสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) ที่เน้นศึกษาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานที่ยั่งยืน และเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ เป็นต้น โดยบางจากฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินและการจัดหาแหล่งเงินทุนหลากหลายรูปแบบและเหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง

ทั้งนี้ บางจากฯ มีแผนยุทธศาสตร์จากนี้ไปจนถึงปี 2573 เพื่อความเติบโตทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก รวมถึงแผนพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบัน (Extend) และแสวงหาโอกาสในการกระจายการลงทุนในธุรกิจอื่น (Diversify) เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งจะเป็นพลังงานสะอาดที่เป็น Bridging Energy ในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้ ธุรกิจการให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและมุ่งสู่การเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์ม Battery as a Service (BaaS) สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้มีสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) ที่เน้นศึกษาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานที่ยั่งยืน และเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ เป็นต้น โดยบางจากฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินและการจัดหาแหล่งเงินทุนหลากหลายรูปแบบและเหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง

ทั้งนี้ บางจากฯ มีแผนยุทธศาสตร์จากนี้ไปจนถึงปี 2573 เพื่อความเติบโตทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก รวมถึงแผนพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบัน (Extend) และแสวงหาโอกาสในการกระจายการลงทุนในธุรกิจอื่น (Diversify) เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งจะเป็นพลังงานสะอาดที่เป็น Bridging Energy ในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้ ธุรกิจการให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและมุ่งสู่การเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์ม Battery as a Service (BaaS) สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้มีสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ (BiiC) ที่เน้นศึกษาเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานที่ยั่งยืน และเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ เป็นต้น โดยบางจากฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินและการจัดหาแหล่งเงินทุนหลากหลายรูปแบบและเหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างมีเสถียรภาพและมั่นคง

ด้วยจุดยืนในการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บางจากฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Greenovate to Regenerate สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด โดยมีพื้นฐานจากการรักษาสมดุลระหว่างคุณค่าและมูลค่า สู่การรักษาสมดุลของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Energy Trilemma) เพื่อขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ตลอดจนการรักษาสมดุลในการเป็นองค์กรที่เปี่ยมด้วยจรรยาบรรณที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีการกำกับดูแลธุรกิจที่ดี (ESG) และด้วยรากฐานที่มั่นคง ประกอบกับความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ และศักยภาพทางธุรกิจต่างๆ จะช่วยเอื้อให้บริษัทฯ สามารถเติบโตสู่ปีที่ 40 ในปี 2567 และปีต่อๆ ไป ได้อย่างแข็งแกร่ง สร้างความยั่งยืนให้กับทั้งองค์กรและสังคมไทยโดยรวม”นายชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย




Source link