ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามรับมือกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงที่สุดในรอบ 31 ปี และฉุดให้คะแนนนิยมของเขาดิ่งลง โดยพยายามแก้ปัญหาการติดขัดของระบบการผลิตและขนส่งสินค้า และแก้ไข “โรคระบาดการค้ากำไรเกินควร” ตามคำนิยามของทำเนียบขาว
นักเศรษฐศาสตร์ต่างระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ เผชิญศึกหนักเนื่องจากไม่มีกลไกใดที่ประธานาธิบดีสามารถ “เคาะ” ครั้งเดียวเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ และยิ่งราคาสินค้าสูงขึ้นนานเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลกระทบในระยะยาวมากขึ้นเท่านั้น ทำให้แก้ปัญหาได้ยากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มาตรการเช่นการให้ท่าเรือดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง จะทำให้สินค้าไปถึงผู้ค้าปลีกได้มากขึ้น แต่ก็เตือนว่าปัญหานี้อาจคงอยู่จนถึงปีหน้า ในขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ ย้ำว่า ปัญหาเงินเฟ้อนี้จะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รวบรวมความพยายามต่างๆ ของรัฐบาลไบเดนในการรับมือเงินเฟ้อครั้งนี้
เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ปล่อยน้ำมันสำรองสู่ท้องตลาด เพื่อให้ราคาน้ำมันโลกต่ำลง
รัฐบาลไบเดนเรียกร้องให้จีนและประเทศที่ใช้น้ำมันปริมาณมากประเทศอื่นๆ ให้ปล่อยน้ำมันดิบที่เก็บสะสมไว้เข้าสู่ตลาดเพื่อให้ราคาพลังงานโลกต่ำลง หลังสหรัฐฯ ไม่พอใจที่องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือ โอเปก ไม่ยอมเพิ่มการผลิตน้ำมัน
จีนและประเทศอื่นๆ กำลังวางแผนปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ระบุว่า ไม่สามารถปล่อยน้ำมันออกมาได้เพียงเพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเท่านั้น
สืบสวนบริษัทพลังงานต่างๆ ว่าจงใจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นหรือไม่
ปธน. ไบเดนขอให้คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ สืบสวน “การกระทำผิดกฎหมาย” ที่อาจเกิดขึ้นในตลาดพลังงาน โดยไบเดนอ้างหลักฐานว่าบรรดาบริษัทพลังงานจงใจทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น
ทางคณะกรรมการเริ่มสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม แทบไม่มีผลการสืบสวนเป็นชิ้นเป็นอันออกมาเนื่องจากเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่า มีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจริง นักรณรงค์ระบุว่าลินา ข่าน ประธานคณะกรรมการดังกล่าว อาจใช้อำนาจเพิ่มเติมตามกฎหมายพลังงาน ค.ศ. 2007 เพื่อสืบสวนบรรดาบริษัทพลังงานเพิ่มเติมได้
ตรวจสอบหาสาเหตุค่าธรรมเนียมขนส่งทางเรือพุ่งสูง
เมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐบาลไบเดนขอให้คณะกรรมการการเดินเรือแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ ให้สืบสวนถึงปัญหาค่าธรรมเนียมขนส่งทางเรือ และเรียกร้องให้ทางคณะกรรมการยื่นเรื่องคัดค้านกลุ่มพันธมิตรเดินเรือต่างๆ ที่ควบคุมเส้นทางการเดินเรือของโลก
ทำเนียบขาวระบุว่า กลุ่มพันธมิตรเดินเรือเหล่านี้ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่คณะกรรมการเดินเรือแห่งสหรัฐฯ อาจทำเรื่องคัดค้านได้หากกิจกรรมของกลุ่มดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงหรือการเดินเรือล่าช้าโดยไม่สมเหตุสมผล หรือ “ลดการแข่งขัน (ในตลาดเดินเรือ) อย่างมีนัยสำคัญ”
แก้ปัญหาสินค้าตกค้างท่าเรือ ขยายเวลาทำการรถบรรทุกขนส่งสินค้า
เมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐบาลไบเดนร่วมมือกับสหภาพและท่าเรือต่างๆ กำหนดให้ท่าเรือในนครลอสแอนเจลิสและเมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย มีการดำเนินการตลอดเวลา เพื่อให้มีการขนส่งสินค้ามากขึ้น และขอความร่วมมือให้บริษัทค้าปลีกเจ้าใหญ่ เช่น วอลมาร์ต และ ทาร์เก็ต ให้ลำเลียงสินค้าเร็วขึ้น
ทั้งนี้ ท่าเรือต่างๆ จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐราว 17,000 ล้านดอลลาร์จากกฎหมายสาธารณูปโภคฉบับล่าสุดที่ผู้นำสหรัฐฯ ลงนาม ทำเนียบขาวยังประกาศว่าจะมีการลงทุนโดยทันทีเพื่อแก้ปัญหาสินค้าติดขัดที่เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย โดยสร้างลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ชั่วคราวห้าแห่ง
การขาดพนักงานขับรถบรรทุกยังทำให้การขนส่งสินค้าล่าช้า เมื่อวันที่ 1 กันยายน กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ ขยายข้อจำกัดการทำงานของพนักงานขับรถเพื่อให้การขนส่งสินค้าฉุกเฉินเป็นไปอย่างสะดวกขึ้น
สืบสวนบริษัทขายเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ถึงการกำหนดราคาสินค้าในตลาด
ผู้นำสหรัฐฯ พุ่งเป้าไปที่บริษัทสี่แห่งที่ครองตลาดเนื้อสัตว์ในสหรัฐฯ โดยทำเนียบขาวยืนยันว่าจะ “ปราบปรามการกำหนดราคาที่ผิดกฎหมาย” ในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และจัดสรรงบ 1,400 ล้าน ซึ่งเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด-19 ให้ผู้ผลิตและคนงานในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ขนาดเล็ก
เล็งผ่อนคลายกำแพงการค้ากับจีน หากจีนตกลงซื้อสินค้าและบริการสหรัฐฯ มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์
เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า การผ่อนคลายกำแพงการค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อสินค้านำเข้าจากจีน อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง
เยลเลนยังกล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ กดดันให้จีนทำตามสัญญาว่าจะซื้อสินค้าและบริการมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ระยะที่ 1 ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อลดกำแพงการค้า
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ อาจใช้อำนาจตามกฎหมายงบประมาณ ค.ศ. 2015 เพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และจำกัดหรือห้ามการส่งออกน้ำมันเป็นเวลาไม่เกินหนึ่งปี หรือขอให้คณะกรรมการสินค้าโภคภัณฑ์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า กลับไปทบทวนข้อจำกัดที่มีอยู่
(ที่มา: สำนักข่าวรอยเตอร์)