อดีตลูกจ้างเผยข้อมูลวงใน! เฟสบุ๊คเลือก “กำไรมาก่อนความปลอดภัย”


อดีตลูกจ้างของบริษัทเฟสบุ๊ค (Facebook) ผู้เคยกล่าวหาสื่อสังคมออนไลน์รายใหญ่นี้ว่า ทราบดีถึงอันตรายของเฟสบุ๊คที่มีต่อการปลุกระดมความเกลียดชังและภัยต่อสุขภาพจิตของเยาวชน ได้ออกมาเปิดเผยตัวตนของเธอพร้อมทั้งกล่าวหาเฟสบุ๊คด้วยว่า “ให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความปลอดภัยของผู้ใช้”

ฟรานเชส ฮอแกน นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลวัย 37 ปี จากรัฐไอโอวา ผ่านการทำงานให้กับบริษัทเทคโนโลยีมาแล้วหลายบริษัท รวมทั้ง กูเกิล (Google) พินเทอเรสต์ (Pinterest) และเฟสบุ๊ค ให้สัมภาษณ์ต่อรายการ “60 Minutes” ของเครือข่ายโทรทัศน์ ซีบีเอส (CBS) เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เฟสบุ๊คคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เธอเคยประสบมา

ฮอแกน กล่าวว่า เฟสบุ๊คแสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่า “เลือกกำไรก่อนความปลอดภัย” และเน้นสร้างผลกำไรบนความปลอดภัยของผู้ใช้ทุกคน และว่า สิ่งที่ปรากฏบนเฟสบุ๊คทุกวันนี้กำลังฉีกสังคมของเราให้เป็นเสี่ยง ๆ และทำให้เกิดความรุนแรงทางชาติพันธุ์ขึ้นทั่วโลก

เธอยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ แทรกแซงด้วยการควบคุมและจัดระเบียบเฟสบุ๊คด้วย

ก่อนหน้านี้ ฮอแกนสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อเธอได้เปิดเผยเอกสารต่อนักการเมืองอเมริกันและสื่อ The Wall Street Journal เกี่ยวกับรายละเอียดที่ว่าเฟสบุ๊คทราบดีว่าสื่อของตน รวมทั้ง อินสตาแกรม (Instagram) เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง

ในรายการ “60 Minutes” ฮอแกนยังได้อธิบายถึงระบบการทำงานของเฟสบุ๊คในการเลือกโพสต์ที่จะปรากฎบนหน้าฟีดของผู้ใช้ โดยคัดเนื้อหาที่คาดว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้ใช้ผู้นั้นมากที่สุด

ฮอแกน เผยว่า รายงานการวิจัยของเฟสบุ๊คเองชี้ว่า “เป็นเรื่องง่ายที่สื่อสังคมออนไลน์จะกระตุ้นให้ผู้ใช้เกิดอารมณ์โกรธมากกว่าอารมณ์อื่น ๆ” แต่เฟสบุ๊คทราบดีว่าหากเปลี่ยนระบบการคัดสรรเนื้อหานั้นอาจทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาบนหน้าเฟสบุ๊คน้อยลง หรือกดเลือกโฆษณาน้อยลง ซึ่งหมายถึงผลกำไรที่ลดลง

อดีตลูกจ้างของบริษัทเฟสบุ๊คผู้นี้ กล่าวด้วยว่า ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่แล้ว เฟสบุ๊คตระหนักถึงอันตรายจากเนื้อหาบางอย่างและเริ่มใช้ระบบควบคุมเพื่อความปลอดภัยเพื่อลดความรุนแรงจากเนื้อหาดังกล่าว แต่ทันทีที่การเลือกตั้งจบลง เฟสบุ๊คก็กลับไปตั้งค่าระบบเดิมอีกครั้ง

“เฟสบุ๊กทำเงินมากขึ้นเมื่อผู้ใช้บริโภคเนื้อหาต่าง ๆ มากขึ้น และยิ่งผู้ใช้มีความโกรธมากเท่าไร ก็ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น และบริโภคเนื้อหาเหล่านั้นเพิ่มขึ้นด้วย” ฮอแกนกล่าว

VOA